ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฎิ บางเค็ม เพชรบุรี อาจารย์ของหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม ราชบุรี
![]() |
| หลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม เพชรบุรี |
หลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิ หรือ พระครูเกษมสุตคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดกุฏิ ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
พระครูเกษมสุตคุณ ท่านมีนามเดิมว่า ชุ่ม ปุพพนิมิต พื้นเพท่านเป็นชาวบ้านตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๙ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๓๖ ตรงกับวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๗
โยมบิดาชื่อนายตาด ปุพพนิมิต โยมมารดาชื่อนางเขียว ปุพพนิมิต ไม่มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน คือเมื่อโยมมารดาตั้งท้องได้ ๖ เดือนเศษ โยมบิดาก็ถึงแก่กรรมไป เหลือแต่มารดา เมื่อเกิดมาจึงไม่มีบิดา ต่อมาก็อยู่ในความอุปการะมารดาบ้าง ย่าบ้าง อาบ้าง
ปี พ.ศ. ๒๔๒๙ หลวงพ่อชุ่ม เมื่อมีอายุได้ ๑๒ ขวบ ได้มาอยู่วัดกุฏิ ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน ได้ศึกษาเล่าเรียนจนอ่านออกเขียนได้ดี พร้อมทั้งไทยและขอม นับว่าเป็นผู้รู้ดีในสมัยนั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ หลวงพ่อชุ่ม มีอายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบทครั้งแรก ณ พัทธสีมาวัดกุฏิ ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โดยมี
หลวงพ่อฉุย วัดคงคาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อนิล วัดกุฏิ บ้านกุ่ม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์ตุ้ม วัดกุฏิ บ้านกุ่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ที่ก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดกุฏิบางเค็มเรื่อยมา เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและวิชาคาถาอาคมต่างๆ ตลอดจนศึกษาภาษาบาลีตามแบบที่นิยมกันในสมัยนั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ หลังจากที่หลวงพ่อชุ่มบวชได้ ๔ พรรษา ท่านก็ได้สึกมาแต่งงานกับนางสาวจีน ชาวบ้านตำบลนามอญ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จนมีบุตรชายด้วยกัน ๑ คน ชื่อนางทุเรียน
โดยท่านประกอบอาชีพเดินเรือค้าขายข้าวระหว่างเพชรบุรี กับสมุทรสงครามบ้าง กรุงเทพฯบ้าง เป็นการค้าเสมอมา เรียกกัน ว่าอาชีพทางพานิชย์กรรม
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ถูกพายุใหญ่ในระหว่างทะเลปากอ่าวบ้านแหลมติดต่อกับสมุทรสงคราม ตอนคลองช่อง เรือได้ล่มจมลงห่างจากฝั่งประมาณ ๔๐ เส้นเศษ เวลา ๒๐.๐๐ น.เศษ
เมื่อเรือจมลงแล้วท่านและภริยาพร้อมด้วยลูกน้อย ๕ เดือน ๑ คน ต้องแหวกว่ายน้ำทวนลมตามกระ แสคลื่นเข้าฝั่ง เดือนก็มืดมองอะไรไม่เห็นเนื่องจากเมฆหมอกปิดบัง มือซ้ายจับลูกชูขึ้นให้พ้นน้ำ เอาผ้านุ่งผูกชายให้เป็นถุงคล้องบ่าอ้อมตัวภริยาให้ว่ายน้ำมาข้างหลัง
ส่วนมือขวานั้นใช้สําหรับแหวกว่ายน้ำต้องการไม่ให้จากกัน ถ้าตายก็ตายด้วยกัน แต่ท่านบอกว่าเราแน่ใจว่าตั้งอยู่ทางลมมาแน่นอน จึงพยายามว่ายน้ำทวน ลมเสมอ ได้ตะเกียกตะกายว่ายอยู่ประมาณ ๘ ชั่วโมงเศษ
พอฟ้าสางรุ่งอรุณถึงฝั่งพอดี เหนื่อยอ่อนเพลียมาก อาศัยโคนต้นชมพู หันหน้ามามองลูกยังหายใจอยู่ "ยังไม่ตาย" พักให้ลูกกินนม ในระหว่างนี้มีเรือคนหาปลา ๑ ลำพายผ่านมาทางนั้น
เรือตาคนนี้ก็หนีคลื่นลมเมื่อคืนนี้เช่นกันยังเข้าบ้านไม่ได้ ได้ร้องเรียกขอให้ช่วยรับไปด้วย แกก็รับไปด้วยความเต็มใจ ไปถึงบ้านแก่ให้ความอุปการะเป็นอย่างดี
ในวันรุ่งขึ้นจึงกลับถึงบ้าน ขอยืมเรือเขาพายไปจากวัดไชยสุรินทร์ (วัดน้อย) ตามลําน้ำเรื่อยไปบ้านกุ่ม ถึงบ้านพี่น้องที่ชอบพอกันร้องเรียกไม่มีใครขานเลยทั้งๆ ที่เห็นตัวอยู่เฉพาะ เรียกบ้านไหนก็บ้านนั้นไม่มีใครขานรับเลย ที่เป็นอย่างนี้
เพราะมีข่าวโจษกันว่า นายชุ่มพร้อมด้วยภริยาและลูกถูกพายุในทะเลเรือล่มจมน้ำตายหมดแล้ว จึงพากันไม่ขานรับทั้งๆ ที่เห็นตัว อยู่เฉพาะหน้า ต่างโจษกันว่าที่มานี้คงจะเป็นผีปีศาจแน่นอน มาหลอกหลอนพวกเรา
ตอนนี้ก็สิ้นเนื้อประดาตัว ต่อมาได้พาภริยาและลูกมาอยู่บ้านบางเค็ม อำภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ในระยะ ๓ ปี ล่วงมา ได้ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ พร้อมด้วยเย็บผ้าขายบ้าง ภริยาได้มีท้องที่ ๒
เมื่อจวนจะคลอดได้พูดกับท่านว่า คราวนี้ฉันจิตใจไม่ใคร่ดี ถ้าฉันตายคราวนี้ช่วยบวชให้ฉันด้วย และบอกว่าอย่าให้สึกให้บวชเรื่อยไป ท่านรับคำว่าเรื่องบวชนั้น จะบวชให้แต่สึกนั้นไม่รับรอง ต่อมาไม่นานวันก็ตายจริงๆ และตายทั้งกลมด้วย ท่านได้ทำฌาปนกิจศพจนเรียบร้อย
![]() |
| หลวงพ่อนิล วัดกุฏิ ท่าแร้ง เพชรบุรี |
ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ หลวงพ่อชุ่ม ท่านมีอายุได้ ๓๓ ปี ท่านจึงเข้ารับการอุปสมบทครั้งที่ ๒ ตามคำที่ได้รับปากไว้กับภรรยา ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์บางเค็ม ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๐ เวลา ๐๓.๐๐ น. ได้รับฉายาว่า "เขโม" โดยมี
พระปลัดจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการแฉ่ง วัดกุฏิ บางเค็ม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการอาสน์ วัดโพธิ์ บางเค็ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดกุฏิ บ้านกุ่ม(ท่าแร้ง) เพื่อศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงพ่อนิล จนมีความรู้ความสามารถเป็นที่นับถือของชาวบ้านในระแวกนั้นเป็นอย่างมาก
ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงพ่อแฉ่ง วัดกุฎิ บางเค็มได้ลาสิกขา ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกุฏิว่างลง ชาวบ้านในพื้นที่จึงพร้อมใจกันเดินทางไปนิมนต์หลวงพ่อชุ่ม มาเป็นเจ้าอาวาสวัดทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงโดยชาวบ้านได้นิมนต์ท่านถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา ท่านจึงยอมมาเป็นเจ้าอาวาสปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หลวงพ่อชุ่ม ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดทดแทนตำแหน่งที่วางลง
วัดกุฏิ(บางเค็ม) เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๒๓๓ หมู่ที่ ๔ ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
วัดกุฏิ ตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ สันนิษฐานกันว่าเดิมคือ วัดกาจับ เป็นวัดโบราณสมัยอยุธยาตอนปลาย หรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งถูกกองทัพพม่าทำลาย
ประชาชนได้ย้ายโบราณวัตถุบางอย่างมาสร้างวัดขึ้นใหม่ วัดได้รับวิสุงคามสีมา ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ มีรายนามเจ้าอาวาสที่มีการจดบันทึกไว้ดังนี้
๑. หลวงพ่อเทียน
๒. หลวงพ่อเปี่ยม
๓. หลวงพ่อแฉ่ง
๔. พระครูเกษมสุตคุณ (ชุ่ม ปุพนิมิต เขโม)
๕. พระครูสุชาตเมธาจารย์ (พระมหาหน บุญมี ฐานกโร)
๖. พระครูวิจิตรวัชรธรรม (ไพเราะ บัวแก้ว สิริภัทฺโท)
๗. พระอธิการระวี ชื่นชม สุจิตฺโต
![]() |
| พระอุโบสถไม้ วัดกุฏิ บางเค็ม เพชรบุรี |
หลังจากที่หลวงพ่อชุ่ม ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้นวัดได้ทรุดโทรมลงเป็นอย่างมาก ท่านจึงก็ได้พัฒนาวัดทั้งการซ่อมแซมกุฏิ หอฉัน หอสวดมนต์ และศลาการเปรียญ โดยท่านได้พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถจนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ เปิดโรงเรียนประชาบาล หาครูมาสอนเป็นครั้งแรกของตำบล ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดกุฎิ (ชุ่มประชารังสรรค์)
ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านได้เริ่มสร้างพระอุโบสถไม้สักแกะสลัก แกะสลักโดยนายระย่อม ช่างเมืองเพชรบุรีทั้งหมดคนเดียว โดยนำไม้สักจากจังหวัดนครสวรรค์มาก่อสร้าง
ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ พระอุโบสถจึงสร้างเสร็จ ลักษณะเป็นอาคารไม้ขนาด ๗ ห้อง เชิงฝาเป็นคอนกรีต ปรุงฝาไม้เป็นแผงห้องละ ๑ แผง
แต่ละแผงแกะสลักภาพเรื่องทศชาติชาดก มหาเวสสันดรชาดก และไซอิ๋ว รวม ๒๑ แผง หน้าบันสร้างเป็นมุขประเจิด ลายหน้าบันด้านหน้าแกะสลักเป็นรูปเงินตราพระมหามงกุฏ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ส่วนด้านหลังเป็นรูปเงินตราในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โครงหลังคามีมุขประเจิดด้านหน้าและหลังละ ๑ ชั้น ด้านข้างมีตับหลังคาปีกนกลาดลง ๒ ชั้น
เครื่องลำยองเป็นไม้แกะสลักลงรักปิดทอง ประดับกระจกปีกนกแผ่กว้างและลดต่ำลง มีลวดลายแกะสลักกันแดด เสาแปดเหลี่ยมรับเชิงชาย ๓๒ ต้น เสามุขเป็นเสาเหลี่ยม ๒๘ ต้น รวมทั้งสิ้น ๖๐ ต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านได้สร้างกุฏิไม้
ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม หาพระที่มีคุณสมบัติมหาเปรียญมาสอนหลายรูป
ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นกรรมการนำประโยคนักธรรมไปเปิดสอบที่วัดท้ายตลาด อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรมสนามหลวง วัดพระเชตุพนฯ พระนคร
ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นพระครูพิสิฏฐสรการ ฐานานุกรมของพระอุปาลีคุณูปมาจารย์ วัดพระเชตุพนฯ
ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี
ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระครูพรหมสร ฐานานุกรมของสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน) วัดพระเชตุพนฯ
![]() |
| ข่าวเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิ บางเค็ม เพชรบุรี |
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่พระครูเกษมสุตคุณ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ประกาศราชกิจจนุเบกษา วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เล่ม ๖๙ ตอนที่ ๗๒
สมัยก่อนมีเรื่องเล่าถึงความเก่งกาจในวิชาอาคมของหลวงพ่อชุ่ม ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า คราวหนึ่งระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์ผ่านตลาดสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในขณะนั้นที่มีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่พลัดหลงจากป่าเข้ามาในตัวตลาด
ทำให้เสือวิ่งไล่ชาวบ้านกันโกลาหล กระทั่งเสือวิ่งมาประจันหน้ากับหลวงพ่อชุ่ม แต่แทนที่ท่านจะตกใจ ท่านกลับยืนสงบนิ่งแล้วเป่าคาถาสะกดเสือจนแข็งทื่อ จากนั้นท่านก็เอาผ้ารัดอกไปมัดคอเสือแล้วจูงมันกลับเข้าป่าไป เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่เรื่องลือไปทั่ว
หลวงพ่อชุ่ม ท่านเป็นที่ศรัทธาของชาวบางเค็มเป็นอย่างมาก แต่ท่านเป็นพระที่เก็บตัว กระทั่งวันหนึ่งท่านได้เดินทางไปเยี่ยมหลวงพ่อทอง วัดเขากระจิว พระอาจารย์ของหลวงพ่อตัด วัดชายนา
และได้เสกปลักขิกกระโดดต่อหน้าต่อตาคนหลายๆคน หลวงพ่อตัดเห็นเช่นนั้นจึงศรัทธาในตัวหลวงพ่อชุ่มเป็นอย่างมาก จึงฝากตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชานี้กับท่านในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นั้นเอง
นอกจากนี้ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม ราชบุรี และหลวงพ่อช่อ วัดโคกเกตุ สมุทรสงคราม อีกด้วย
![]() |
| หลวงพ่อโต วัดคู้ธรรมสถิติ์ สมุทรสงคราม |
รวมทั้งยังเป็นพระเกจิรุ่นพี่ของหลวงพ่อโต วัดคู้ธรรมสถิติ์ ที่บวชอยู่ที่วัดกุฏิบางเค็ม และได้เรียนวิชาพุทธาคมกับหลวงพ่อแฉ่ง เจ้าอาวาสวัดกุฎิในขณะนั้น ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อแฉ่ง มีหลวงพ่อชุ่มเป็นศิษย์ที่มีวิชาอาคมเข้มขลังอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของหลวงพ่อโต โดยมีอายุมากกว่าหลวงพ่อโต ๘ ปี
หลวงพ่อชุ่ม ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชราเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ นับรวมสิริอายุได้ ๘๘ ปี ๓ เดือน ๑๓ วัน ๕๕ พรรษา.
วัตถุมงคลของหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม
เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปหยดน้ำแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อโลหะทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
| เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม เพชรบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เนื้อทองแดง |
![]() |
| เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม เพชรบุรี รุ่นแรกเสริม (๙๖ ติด) ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อชุ่มครึ่งองค์ห่มจีวรคลุมไหล่ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูเกษมสุตคุณ ๒๔๙๖"
ด้านหลัง ไม่มีขอบเหรียญ ตรงกลางเหรียญมีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์
เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม รุ่นสอง
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อโลหะทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
| เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิ บางเค็ม เพชรบุรี รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อชุ่มครึ่งองค์ห่มจีวรคลุมไหล่ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูเกษมสุตคุณ ๒๕๐๒"
ด้านหลัง ไม่มีขอบเหรียญ ตรงกลางเหรียญมีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม รุ่น ๓ (แจกงานศพ)
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เพื่อแจกในงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อ ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มแบบมีหูในตัวแบบเดียวกับเหรียญรุ่น ๒ โดยใช้บล็อกด้านหน้าของเหรียญรุ่น ๒ มาใช้แล้วแกะบล็อกด้านหลังใหม่ มีการสร้างด้วยเนื้อโลหะทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
| เหรียญหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิ บางเค็ม เพชรบุรี รุ่นแจกงานศพ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อชุ่มครึ่งองค์ห่มจีวรคลุมไหล่ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูเกษมสุตคุณ ๒๕๐๒"
ด้านหลัง ไม่มีขอบเหรียญ ตรงกลางเหรียญมีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ ๒๕๐๗"โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม
บทความที่เกี่ยวข้อง









ไม่มีความคิดเห็น