ประวัติและวัตถุมงคลหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ เจ้าของหนุมานโลหะที่เข้มขลัง
![]() |
หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ |
หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม ตำบลสี่เหลี่ยม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นพระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน ท่านมีนามเดิมว่าเม้า สุราราช พื้นเพเป็นคนนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเมื่อวันพุธขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ โยมบิดานายเพิ่ม สุราราช โยมมารดาชื่อนางจีบ สุราราช
ปี พ.ศ. ๒๔๓๐ หลวงปู่ท่านมีอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาและโยมมารดาได้นำท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อให้ได้ศึกษาวิชาเขียนอ่านกับพระอาจารย์นิล วัดใหม่เรไรทอง ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ท่านมีอายุ ๒๐ ปีครบบวช ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดใหม่เรไรทอง ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ฉายาว่า "พลวิริโย" โดยมี
พระอาจารย์นิล วัดใหม่เรไรทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงปู่เม้า ท่านถือเป็นพระนักพัฒนาอย่างแท้จริง เพราะหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่เรไรทองเรื่อยมาและในช่วงเวลานี้เอง ท่านได้ร่วมกับญาติโยมในถิ่นนั้นช่วยกันสร้างศาลาการเปรียญจนสำเร็จ ๑ หลัง
ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ หลวงปู่เม้า ท่านได้ย้ายจากวัดใหม่เรไรทอง ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านถนนหัก ซึ่งในขณะนั้นมีหลวงพ่อเพียรเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ศึกษาวิชาวิปัสนากรรมฐานอยู่กับพระอาจารย์เพียร ซึ่งต่อมาเป็นพระอาจารย์ที่โด่งดังในช่วงเวลาต่อมา
และในระหว่างที่หลวงปู่เม้า ท่านอยู่จำพรรษาอยู่นั้น ท่านก็ได้สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลังจนสำเร็จ หลังจากที่ท่านได้เรียนวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์เพียร จนหมดสิ้นแล้ว
ท่านก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งขณะนั้นก็มีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระร่วมศึกษาอยู่ด้วย
ต่อมาท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านตะโก ท่านก็ได้พัฒนาวัดตะโก จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ โดยสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง และสระน้ำใว้ในวัดเพื่อความสะดวกของพระภิกษุสามเณรและญาติโยมโดยทั่วไป
![]() |
หลวงพ่อเม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ |
เมื่อท่านเห็นว่าวัดตะโกนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองดีแล้ว ท่านไม่ต้องการที่จะหาความสุขส่วนตัวอยู่ที่วัดนี้ ท่านจึงย้ายไปจากวัดบ้านตะโก ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสังเวทวิริญาวาส และได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น ๑ หลัง พระอุโบสถ ๑ หลัง กุฏิ ๑ หลัง
และยังแบ่งที่ดินในวัดให้สร้างโรงเรียนอีก ๔ ไร่ เพื่อที่จะใช้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตรกุลธิดาของญาติโยมในถิ่นนั้น
หลังจากนั้นท่านจึงได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดบ้านหนองยายพิม
ท่านก็ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและความสุขส่วนตัว
ท่านยังได้ทุ่มเทกำลังกายสร้างกุฏิ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลังจนสำเร็จ
หลังจากนั้นท่านจึงย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหนองสี่เหลี่ยม ปัจจุบันเรียกว่าวัดสี่เหลี่ยม
หลังจากที่ท่านย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสี่เหลี่ยม ท่านก็ได้เริ่มงานพัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ โดยการสร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง
แต่ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพราะขาดทุนทรัพย์ในการก่อสร้างและตัวหลวงปู่เองก็มีอายุ ๑๐๐ ปีแล้ว จึงอยากให้พระอุโบสถหลังนี้เสร็จโดยเร็ว
หลวงปู่เม้าจึงดำริที่จะสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อที่จะได้ให้ไว้เป็นเครื่องสักการะบูชายึดเหนี่ยวจิตใจ และคุ้มครองภัยตรายแก่บรรดาลูกศิษย์โดยทั่วกัน อีกทั้งจะได้นำทุนทรัพย์มาทำการบูรณะปฏิสังขรสร้างพระอุโบสถให้สำเร็จลุล่วงต่อไป
ในการก่อสร้างพระอุโบสถในสมัยนั้น หลวงปู่เม้าท่านจึงได้สร้างสิ่งมงคลขึ้นโดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้ทรงเป็นองค์ประธานจัดงาน
โดยหลวงปู่เม้า ท่านจะปลุกเสกวัตถุมงคลในคืนที่มีจันทรุปราคา ในโบราณถือว่าเป็นฤกษ์ดีที่สุดในการปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ และพอท่านนั่งปรกปลุกเสก ได้เกิดเหตุการณ์ฝนตกลงมาอย่างน่าอัศจรรย์
ท่ามกลางพระสงฆ์สามเณรและสาธุชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นฝนที่ไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อน อีกทั้งยังเป็นช่วงหน้าแล้งมาก และเมื่อหลวงปู่เม้าปลุกเสกเสร็จแล้ว พื้นที่ในอำเภอนางรอง ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก
เพียงพอกับการต่ออายุพืชผลเกษตร สวนทางกับพื้นที่เขตอำเภอใกล้เคียงและจังหวัดอื่นในภาคอีสานกับแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนัก ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ศิษยานุศิษย์ของท่านทั้งหลายได้ตื่นตากับเหตุการณ์นั้น
หลวงปู่เม้า ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความเมตตาต่อลูกศิษย์ลูกหาทุกคน โดยไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ท่านให้ความเสมอภาคเท่ากันหมด ลูกศิษย์ต่างๆ ของท่านทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย
ญาติโยมที่เดินทางไกลไปนมัสการท่าน หลวงปู่เม้าก็ให้เข้าพบโดยมีได้รังเกียจกีดกันใดๆ แม้แต่น้อย ท่านช่วยปัดเป่าความเดือดร้อนให้เขาเหล่านั้นได้สมความหวังที่ตั้งใจไว้
ในสมัยก่อนนั้นหลวงปู่เม้า ท่านมีชื่อเสียงเรื่องการรดน้ำพระพุทธมนต์ ใครที่ได้รดน้ำมนต์กับท่านจะอยู่เย็นเป็นสุข และยังจากรดน้ำมนต์แล้วท่านมักจะมอบเครื่องรางของขลังให้ไว้บูชาอีกด้วย
เมื่อสมัยสงครามอินโดจีนเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ลากยาวมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ชาวบ้านที่เคารพนับถือหลวงปู่เม้า ต่างมุ่งหน้าเดินทางมาขอบูชาวัตถุมงคลต่างๆ โดยเฉพาะผ้ายันต์และตะกรุดโทนอันลือชื่อ
โดยเฉพาะเหล่าทหาร ได้รับผ้ายันต์หรือตะกรุดโทน ต่างได้รับความปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยในสมรภูมิได้ทุกท่านราวปฎิหาริย์
จนเมื่อท่านจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ท่านทราบข่าวถึงความปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ กิติศักดิ์เป็นที่เลื่องลือ ท่านจึงได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่
หลวงปู่เม้าท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคม มีญานจิตสูงรูปหนึ่ง บารมีแก่กล้า วาจาศักด์สิทธิ์ (ในปากท่านเป็นลิ้นดำ) ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงสุด ที่รู้อดีตปัจจุบันและอนาคต
นายกรัฐมนตรีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เป็นอีกบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่ให้ความเคารพนับถือหลวงปู่เม้า ที่เป็นพระวัดบ้านป่า ห่างไกลเมืองหลวงแต่ชื่อเสียงของหลวงปู่ก็ยังโด่งดังเข้าไปถึงยังพระนครเลยทีเดียว
หลวงปู่เม้า ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชราเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ นับรวมสิริอายุได้ ๑๐๒ ปี ๘๒ พรรษา.
วัตถุมงคลของหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถของวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ แบบมีหูในตัว โดยมีพิธีในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ซึ่งตรงกับวันทำบุญอายุของหลวงปู่เม้า พลวิริโย ครบ ๑๐๐ ปี พอดี โดยเริ่มพิธีในเวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระสงฆ์ ๑๐๐ รูปร่วมเจริญพระพุทธมนต์
จากนั้นหลวงปู่จะทำการปลุกเสกเหรียญรูปเหมือน ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน วันรุ่งขึ้นวันพุธที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๑๗ หลังพิธีมีการถวายอาหารบิณฑบาตรแด่พระภิกษุ ๑๐๐ รูปเสร็จแล้ว
พระภิกษุทำพิธีสวดต่ออายุให้แก่หลวงปู่ หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ แล้วหลวงปู่จะมีของแจกเป็นที่ระลึกในงานนี้ด้วย ซึ่งเหรียญของหลวงปู่นั้นมีการสร้างด้วยโลหะ ๔ ชนิดด้วยกัน คือเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อทองแดง แบ่งออกเป็น
เหรียญทองคำ สร้างจำนวน ๙ เหรียญ ออกให้บูชาเหรียญละ ๒,๕๐๐ บาท
เหรียญเงิน สร้างจำนวน ๓๐๐ เหรียญ ออกให้บูชา เหรียญละ ๒๐๐ บาท
เหรียญสัมฤทธิ์(นวะ) สร้างจำนวน ๓๐๐ เหรียญ ออกให้บูชา เหรียญละ ๑๐๐ บาท
เหรียญทองแดง สร้างจำนวน ๗,๙๐๘ เหรียญ ออกให้บูชา เหรียญละ ๒๐ บาท
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เนื้อเงิน |
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เนื้อนวะ |
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงปู่เม้าครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงปู่เม้า พลวิริโย ฉลองอายุครบ ๑๐๐ ปี รุ่น ๑"
ด้านหลัง มีอักขระยันต์ ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "ที่ระลึกในงานสร้างพระอุโบสถ วัดสี่เหลี่ยม จ.บุรีรัมย์ ๒๓ พ.ค. ๒๕๑๗"
หนุมานหล่อโบราณหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๗
เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถของวัด
ลักษณะเป็นรูปหล่อโบราณลอยองค์ จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
หนุมานหล่อโบราณหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เนื้อทองเหลือง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหนุมานทรงเครื่องนั่งสมาธิบนฐานเขียง ที่ฐานเขียงมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "วัดสี่เหลี่ยม"
ด้านหลัง ที่ฐานเขียงมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงปู่เม้า"ใต้ฐาน มีรอบอุดกริ่งด้วยทองแดง
รูปหล่อโบราณหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม รุ่นแรก
![]() |
รูปหล่อโบราณหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เนื้อโลหะผสม |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อนั่งสมาธิบนฐานเขียง องค์หลวงพ่อห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ที่ฐานเขียงมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงปู่เม้า"
ด้านหลัง ที่ฐานเขียงมีอักขระใต้ฐาน เรียบ มีรอยตะไบ
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม รุ่นมหานิยม
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘
เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถของวัด
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปวงกลมแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยโลหะ ๔
ชนิดด้วยกัน คือเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นมหานิยม ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื้อนวะ |
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นมหานิยม ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื้อเงิน |
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นมหานิยม ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื้อทองแดงกระไหล่ทอง |
![]() |
เหรียญหลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ รุ่นมหานิยม ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงปู่เม้านั่งสมาธิเต็มองค์ องค์หลวงพ่อห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคต ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "มหาลาภ" ถ้าเนื้อทอแดงที่สังฆาฏิมีโค้ดตอก
ด้านหลัง มีอักขระยันต์ ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม บุรีรัมย์ อายุ ๑๐๑ ปี ๒๕๑๘" ถ้าเป็นเนื้อทองคำ เงิน และนวะโลหะที่พื้นเหรียญจะตอกเลขนับจำนวน
หมายเหตุ
บางตำราว่ามีหลวงพ่อเพียร วัดถนนหัก เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่เมื่อค้นประวัติของหลวงพ่อเพียร ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๔๑๓ แก่กว่าหลวงปู่เม้า ๔ ปี
และหลวงพ่อเพียรได้เป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ - พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นไปไม่ได้ที่พระที่บวชแค่ ๔ ปี แล้วจะได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่เม้า จึงสรุปได้ว่าข้อมูลนั้นผิดพลาดหลวงพ่อเพียร ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่เม้าอย่างแน่นอน
โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น