ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อทองสุข (พระครูสุตานุโยค) วัดบันไดทอง เพชรบุรี
![]() |
หลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี |
หลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง หรือ พระครูสุตานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดบันไดทอง เจ้าคณะตําบลธงไชยและบ้านกุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
พระครูสุตานุโยค ท่านมีนามเดิมว่า สุข นามสกุล กลิ่นนาค พื้นเพท่านเป็นชาวบ้านหมู่ที่ ๒ ตำบลห้วยโรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ โยมบิดาชื่อนายอยู่ กลิ่นนาค โยมมารดาชื่อนางแจ่ม กลิ่นนาค มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน คือ
๑. นางสาวธูป กลิ่นนาค
๒. นายจด กลิ่นนาค
๓. พระครูสุตานุโยค (สุข กลิ่นนาค)
๔. นายสอน กลิ่นนาค
๕. นายหนู กลิ่นนาค
๖. นายบาง กลิ่นนาค
เมื่อปฐมวัย โยมบิดาท่านได้นำไปฝากเป็นศิษย์วัดห้วยโรง ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อจะได้เล่าเรียนศึกษาหาความรู้ เพราะสมัยนั้นโรงเรียนประชาบาลยังไม่มี
ท่านมีความพยายามพากเพียรเล่าเรียนศึกษาด้วยความอดทนขยันขันแข็ง จนมีความรู้ภาษาไทย อ่านออกเขียนได้ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยนปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ด้วยความเคารพเป็นเนืองนิตย์
นับว่าเป็นศิษย์ที่เคารพต่อครูบาอาจารย์ตลอดกาลโดยมีเสื่อมคลาย จึงเป็นที่รักของอาจารย์ เมื่อท่านได้ศึกษาและมีความรู้พอสมควรแล้ว ก็ได้ขออนุญาตอาจารย์กลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ทํานา)
ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงพ่อสุข มีอายุครบ ๒๐ ปี ท่านเป็นผู้มีศรัทธาอันมั่นคงสนใจในทางบุญกุศล ยึดมั่นในหลักคําสั่งสอนในพระพุทธ ศาสนา จึงได้ขออนุญาตบิดามารดาลาอุปสมบท เมื่ออนุญาตแล้วอุปสมบทได้ ๑ พรรษา วันเวลาแห่งการเกณฑ์ทหารก็มาถึง
ท่านจึงถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารตามหน้าที่ของชายไทย ขณะกำลังเมื่อยังอุปสมบท ท่านจึงต้องลาอุปสมบท เพื่อรับใช้ประเทศชาติอยู่ ๒ ปี เมื่อเสร็จภารกิจพ้นจากหน้าที่ของการเป็นทหารแล้ว ด้วยจิตใจอันมั่นคงแน่วแน่
ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ หลวงพ่อสุขมีอายุได้ ๒๓ ปีเศษ ท่านมีความศรัทธายึดมั่นในพระรัตนตรัยอันแรงกล้า โดยมิให้วันเวลาล่วงไป โดยเปล่าประโยชน์ จึงได้ขออนุญาตบิดามารดาด้วยศรัทธาอันตั้งมั่น พร้อมกันนั้นก็ได้เข้า ปรึกษาต่ออุปัชฌาย์ ณ วัดห้วยโรง ท่านมีความปิติยินดีสนับสนุนให้บวช จึงได้กําหนด ให้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดห้วยโรง ตำบลห้วยโรง อําเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้รับฉายาว่า "สุจิตโต" (มีความคิดดี) โดยมี
เจ้าอธิการหนึ่ง วัดห้วยโรง เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์นิ่ม วัดห้วยโรง เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์เซ่ง วัดห้วยโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดห้วยโรงเรื่อยมา เพื่อศึกษาวิชาในด้านคันลธุระ ท่านได้พยายามศึกษาอักขรสมัย (ขอม) จนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ด้วยความชํานาญ ประกอบด้วยปฏิภาณปัญญาแตก ฉานอักขรสมัยเป็นอย่างดี
และด้วยวิริยะอุตสาหะท่องมนต์ได้จนจบ พร้อมกันนั้นท่านก็ท่องปาฏิโมกข์จบ ได้แสดงพระภิกขุปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกนั้น
ในด้านคันถธุระนี้ ท่านได้ศึกษามาด้วยดี โดยยึดมั่นต่อคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐ ได้พยายามสร้างคุณประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นกับตนพอประมาณเป็นประการแรก ด้วยการฝักใฝ่สนใจแสวงหาวิชาความรู้ใส่ตน และความรู้ความสามารถประกอบด้วยหลักเมตตา ขันติธรรมประจำดวงจิตของท่าน จึงสามารถสร้างคุณประโยชน์สงเคราะห์หมู่สงฆ์ได้โดยสมบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังได้ศึกษาในทางจิตพิจารณาไตรลักษณาญาณ ให้รู้ถึงสภาพตามความเป็นจริงของสภาวธรรม ตามกิจลักษณะฝ่ายวิปัสสนาธุระจากพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระผู้เชี่ยวชาญแตกฉาน ยากที่จะหาพระอาจารย์ในสมัยนั้นเทียม
![]() |
หลวงพ่อหนึ่ง วัดห้วยโรง พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง |
หลวงพ่อหนึ่ง วัดห้วยโรง นั้นนับว่าหลวงพ่อท่านได้ศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระมาด้วยดี ท่านจึงได้ใช้หลักการปฏิบัติทางจิตของท่านเสมอมามิได้ขาด ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญมากในด้านี้
ในระยะกาลผ่านมา เท่าที่ท่านได้จําพรรษากาลอยู่ที่วัดห้วยโรง ด้วยสัมมาปฏิบัติอันเป็นกิจลักษณะต่ออุปัชาย์อาจารวัตรอันเป็นนิสสัยของภิกษุใหม่
ในเวลาเดียวกัน ท่านก็ได้ปฏิบัติศาสนกิจสงเคราะห์สงฆ์พร้อมด้วยสาธารณูประการพอสมควร เมื่อพ้น นิสัยมุตตะแล้ว ท่านมาคิดคํานึงด้วยดวงจิตอันบริสุทธิ์ของท่านว่า อาตมาได้อุทิศโปรด ญาติโยม หวังส่วนกุศลผลบุญสร้างสรรคุณธรรมความดี สงเคราะห์ญาติโยมชาวห้วยโรง ของท่านพอสมควรแล้ว
ควรจะดําเนินตามรอยบาทจอมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการเผยแผ่คุณธรรมความดี อันเป็นการจาริกแสวงบุญต่างถิ่นบ้าง เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ด้วยเมตตาธรรม เท่าที่จะประกอบได้ในต่างถิ่นทั่วๆ ไป
ท่านจึงได้ตัดสินใจ กราบลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และญาติโยมชาวบ้านห้วยโรง ด้วยความอาลัยรักของพระอุปัชฌาย์ อาจารย์และญาติโยม พยายามหน่วงเหนี่ยวท้วงติงด้วยประการต่างๆ
โดยไม่อยากให้ท่านจากไปถิ่นอื่น ด้วยเหตุผลและปณิธานที่ได้ตั้งมั่นอยู่ในจิตอันบริสุทธิ์ของท่านแต่เดิมโดยมิได้เสื่อมคลาย ผลอันเป็นเจตนาหมายอันแน่วแน่ของท่านก็สัมฤทธิ์ผล พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็จำต้องอนุญาต
เมื่อความตั้งใจของท่านสมเจตนาหมายแล้ว ท่านจึงตั้งจิตมุ่งมั่นว่า ควรจะเดิน ทางไปหาความสงบวิเวกที่พอจะบําเพ็ญสมณกิจทางจิตแห่งวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้มาพำนักอยู่ที่วัดเขาหลวง (ธงไชย) (จะเป็นวัดถ้ำแกลบหรือวัดธงไชยแน่-สงสัย)
เพราะเห็นว่าเป็นวัดที่ตั้งอยู่เชิงภูเขาหลวงอากาศโปร่งเย็นสบาย ประกอบกับมีถ้ำอยู่ภายในภูเขา เป็นธรรมชาติที่สมควรอย่างยิ่งเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม มีความสงบวังเวงเป็นการ ตัดปลีโทษกังวลได้เป็นอย่างดี ตลอดจนกระทั่งการโคจรบิณฑบาต อาหารการบริโภค ก็พอทรงอัตตภาพ ไม่ไกลพออยู่ได้
เมื่อท่านได้หาความสงบอยู่วัดเขาหลวง (ธงไชย) ท่านก็พยายามแสวงหาอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในทางอำนาจจิตอยู่เสมอ เมื่อทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมที่ไหน ท่านต้องมุ่งหน้าไปขอศึกษาเล่าเรียนและขอมอบตัวเป็นศานุศิษย์
เพราะอัธยาศัยของท่านชอบศึกษาหาความรู้ ทางสมณวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างมาก และมีการอ่อนน้อมถ่อมตน หวังผลในการศึกษาเล่าเรียนและด้วยวิริยะอุตสาหะปฏิบัติตามแนวของพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นๆ
จนถึงกับอาจารย์รับรองในการปฏิบัติของท่านว่า ความสามารถดี สมควรเป็นสมณะผู้สงบ เป็นพระที่มีการประพฤติปฏิบัติของท่านจึงเป็นเครื่องปลูกศรัทธาปสาทะแก่ญาติโยมสาธุชนที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก ตลอดจนการสงเคราะห์สังฆกิจในหมู่สงฆ์
จึงเป็นที่เคารพรักของภิกษุสงฆ์ทรงสมณวิสัยร่วมสํานักเดียวกัน ด้วยเมตตาขันติธรรมเป็นคุณธรรมลักษณะประจําจิตของท่าน เมื่ออยู่ร่วมกับผู้ใดก็สร้างแต่ความดีอยู่เสมอ
ครั้นระยะต่อมาด้วยความคิดที่ต้องการประกอบด้วยธรรมจาริกสังคหธรรมตัดปลิโพธิกังวล เมื่อประพฤติตนอยู่สถาน ที่สงบตามภูเขาและถ้ำ เห็นว่าพอประมาณแล้ว จึงได้จากสำนักที่อยู่เดิมนั้นไป
ครั้งนี้ได้จาริกไปอยู่ชายทะเลแห่งสำนักวัดนอกปากทะเล ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เพื่อจะได้ศึกษาหาความรู้หลักการของธรรมชาติชายทะเลดูบ้าง เห็นว่า ควรจะหาเวลาศึกษาในด้านนวกรรมสาธารณูประการ (ก่อสร้าง)
เพราะตำบลบางขุนไทร มีช่างชำนาญการก่อสร้างฝีมือดีอยู่มาก เกี่ยวกับวัดนอกบางขุนไทร กำลังก่อสร้างบูรณะ วัดซึ่งเก่าแก่ให้มีสภาพดีขึ้น
ท่านจึงเป็นกำลังช่วยก่อสร้างได้เป็นอย่างดี พร้อมกับศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ไปในตัวด้วย ทำให้ท่านมีความรู้ในเรื่องช่างไม้ก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ครั้นในระยะกาลเข้าพรรษา ท่านก็สงเคราะห์สงฆ์ด้วยการแสดงพระปาฏิโมกข์เป็นประจำ
นับว่าท่านได้บำเพ็ญประโยชน์คุณงามความดีเสมอมามิได้ขาด ตลอด จนญาติโยมที่มาประกอบกิจทางพระศาสนาทำบุญสร้างกุศล ก็พึงพอใจในการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ อยู่ในขอบเขตพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ถึงกับนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำ อย่าได้จากไปสำนักอื่น
แต่แล้วก็ฝืนทัศนวิสัยของท่านไม่ได้ เพราะท่านอยู่ที่ไหนจะขาดเสียมิได้ด้วยเมตตาธรรม ท่านอยู่วัดนอกบางขุนไทร ก็ได้ช่วยสงเคราะห์หมู่สงฆ์และก่อสร้างวัดพอสมควร ครั้นจะอยู่ต่อไป การบำเพ็ญทางจิตซึ่งเป็นกิจส่วนตนก็จะลดน้อยลงไปบ้าง
เมตตาธรรมอันเป็นหลักใหญ่ประจำจิตก็จะเสื่อมคลายลง จึงได้ถือโอกาสขอตัวบอกลาท่านเจ้าอาวาสวัดนอกบางขุนไทรและญาติโยมทั้งหลายว่าจะเดินทางจาริกต่อไปยังสถานที่อื่น
ญาติโยมทั้งหลายไม่อยากให้ท่านจากไป ด้วยความเคารพรักในคุณงามความดีของท่าน แต่แล้วท่านก็ต้องหักใจอำลามาด้วยความตื้นตันใจเป็นยิ่งนัก
ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ท่านก็มาหยุดพักอยู่สํานักวัดบันไดทอง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อพรรษาของท่านได้ล่วงมา เป็นพรรษาที่ ๕
วัดบันไดทอง นับว่าเป็นวัดที่ถูกอัธยาศัยของท่านมาก เมื่อหวนระลึกนึกถึงมโนภาพแล้ว วัดบันไดทองจัดอยู่ในสภาพภูมิภาคเดียวกับถิ่นกำเนิดบ้านเดิมของท่าน อาชีพของญาติโยมก็คือ เกษตรกรรม (ทำนา) เช่นเดียวกัน
วัดบันไดทองขณะนั้นเป็นวัดที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นปกคลุมอยู่มาก และมีแม่น้ำเพชรบุรีไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา เนื้อที่วัดคล้ายเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นวัดเก่าแก่สมัยโบราณ มีสิ่งก่อสร้างวิจิตศิลป์ อัน เป็นถาวรวัตถุที่ชำรุดทรุดโทรมอยู่แทบทั้งสิ้น
เมื่อมาจําพรรษาอยู่ที่วัดบันไดทอง ก็ได้ช่วยเหลือทางวัดอยู่ตลอดมา สมัยนั้นมีหลวงพ่อเต็ม เป็นเจ้าอาวาส แต่สุขภาพร่างกายของท่านไม่ค่อยสมบูรณ์ ท่านก็ชราภาพมากแล้ว หลวงพ่อเต็มเป็นพระที่น่าเคารพนับถือมาก มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ มีเมตตาธรรมประจำใจของท่านอยู่พร้อมมูล
ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่งของหลวงพ่อเต็มตรงกันกับท่าน ได้ปรารถนาขอร้องให้ท่านช่วยดูแลสงเคราะห์สงฆ์ ช่วย แสดงพระปาฏิโมกข์บ้าง ช่วยภารกิจต่างๆ ให้อยู่ตลอดไป เพื่อเห็นแก่พระศาสนา บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชนต่างก็นิยมชมชอบเคารพนับถือท่าน
ในการประพฤติดีปฏิบัติชอบ มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารีย์มีจิตใจเผื่อแผ่เมตตาสงสาร สมัครสมานสามัคคี จึงเป็นที่ยินดีของผู้ที่ได้มาประสบพบเห็นในจริยวัตรของท่าน โดยเฉพาะญาติโยมที่เป็นกำลังอุปถัมภ์ช่วยเหลือทางวัดประจำขณะนั้นหลายคน อาทิ เช่น
พ่อพวง แม่พร้อย กําเนิดเพชร แม่แถม จุทรักษ์ พ่อเรื่อง แม่ล้วน ศรีวรนารถ แม่ขํา เกิดทรัพย์ (ตระกูลเดิม ศรีวรนารถ) ได้เกิดศรัทธาซาบซึ้งในคุณธรรม ซึ่งประกอบมาด้วยดีของท่าน พอจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของพุทธมามกะบริษัทวัดบันไดทองได้
จึงได้นิมนต์ท่านให้อยู่ประจําที่วัดบันไดทองตลอดไป และแล้วญาติโยมทั้งนั้นก็ได้ปวารณาไว้ด้วยว่า ถ้าท่านขัดข้องประสงค์สิ่งใด อันเป็นสมณะบริโภค ขอท่านได้โปรดบอกโยม ตามปรารถนาของท่านได้ทุกโอกาส
ด้วยนัยยะนี้เอง ที่ทำให้จิตใจของท่านมีความยึดมั่นต่อคุณพระรัตนตรัยมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะผลแห่งการสร้างสมความดีด้วยจิตอันเป็นกุศลอย่างมั่นคงแท้จริง มุ่งต่อสัจธรรม เข้าทำนองของหลักธรรมะข้อที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เมื่อท่านได้ตกลงใจรับปากกับญาติโยมแน่นอนแล้วว่า จะอยู่เพื่อสนองศรัทธาของญาติโยมชาววัดบันไดทอง จะช่วยบำรุงพระพุทธศาสนาให้วิวัฒนารุ่งเรืองเท่าที่ความสามารถจะอำนวยได้
กาลต่อมา ท่านก็พยายามใช้วิริยะอุตสาหะอดทน โดยมิเห็นแก่ความเหนื่อยยากในการสร้างสรรซ่อม แซมเสนาสนะ ซึ่งได้สร้างมาเป็นเวลานานปี และถูกภัยธรรมชาติทําลายปรักหักพังไป ให้ทรงสภาพดีพอที่จะเป็นที่พักอาศัยของบรรดาภิกษุสามเณร
เพื่อจะได้บําเพ็ญสมณกิจตามวิสัยของผู้ทรงสมณะเพศได้ต่อไปอีก ท่านได้ทำการช่วยเหลือภารกิจของหลวงพ่อเต็ม มาโดยตลอดด้วยดีเสมอมา
ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หลวงพ่อเต็ม ก็ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางการคณะภิกษุสงฆ์แห่งวัดบันไดทอง ตลอดจนบรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างปรารถนาให้หลวงพ่อสุขได้เป็นผู้ปกครองวัด จึงได้พร้อมใจกันมอบให้ท่านเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส
และในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ นี้ ขณะที่ท่านปฏิบัติหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส ได้มีคหบดีท่านหนึ่งมีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ สร้างโรงเรียนประชาบาล (วิเศษศึกษา) ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวให้ ๑ หลัง
ท่านผู้นั้นคือคุณแม่นวม แซ่จันทร์ ได้อุทิศส่วนกุศลให้ ร.อ. ขุนวิเศษธนรักษ์ (สุน กาญจนกุล) พี่ชาย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่กุลบุตรกุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียน และได้มอบให้นายกิมสูง สิทธิคู อดีตเจ้าของโรงสีไฟคูฮะฮวด ตั้งอยู่ใต้วัดบันไดทอง เป็นผู้รับภาระจัดการก่อสร้าง และให้หลวงพ่อเป็นประธานในการก่อสร้าง จนแล้วเสร็จลุล่วงไปด้วยดี ท่านก็รับเป็นผู้อุปการะโรงเรียนมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ หลังจากที่หลวงพ่อสุขรักษาการเจ้าอาวาสได้ ๑ ปี ท่านจึงได้รับตําแหน่งแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดปกครองวัดทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง
วัดบันไดทอง เป็นวัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๕๖ บ้านโพธิ์ หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๒ งาน
วัดบันไดทอง ตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ สันนิษฐานว่า สร้างปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดทองเพราะมีชื่อปรากฏอยู่ในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ เมื่อครั้งเดินทางมาจังหวัดเพชรบุรีทางเรือ เข้าปากอ่าวแม่น้ำเพชร ผ่านวัดเขาตะเครา ผ่านหน้าวัดทอง จนถึงท่าน้ำวัดพลับพลาชัย มีใจความว่า
"ถึงอารามนามที่กุฏิทอง ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร
ตรงศาลาข้ามน้ำท่าตะพาน นมัสการเกินมาในวารี
ถึงดังเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย ตะวันคล้อยคล้าฟ้าในราศี
ค่อยคล่องแคล่วแจงรีบถึงพริบพรี ประทับที่ท่านพลับพลาชัย"
วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๘๐ มีเจ้าอาวาสปกครองวัดเท่าที่ทราบนาม คือ
๑. พระโซ
๒. พระครูชัย
๓. พระแสง
๔. พระแจ้ง
๕. พระจง
๖. พระเพื่อน
๗. พระอธิการเต็ม
๘. พระครูสุตานุโยค (สุข สุจิตโต) พ.ศ. ๒๔๗๙ - ๒๕๑๘
๙. พระครูสิริพัชรานุโยค (บุญชู อภิญฺจโน) พ.ศ. ๒๕๑๙ - ๒๕๕๖
๑๐. พระครูปลัดสมลักษณ์ เตชธมฺโม พ.ศ. ๒๕๕๗ - ปัจจุบัน
หลังจากที่หลวงพ่อสุขได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้จัดการย้ายกุฏิเดิมซึ่งมีอยู่หลายหลัง ล้วนแต่เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมจากภัยธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ ๒ คณะ เรียกว่า กุฏิบน-กุฏิล่าง ให้มาอยู่รวมกันเป็นคณะเดียวเพื่อสามัคคีธรรม เพื่อสะดวกในการปกครองดูแล และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยจนเป็นผลสําเร็จ
และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้จัดตั้งสํานักเรียนพระปริยัติธรรม (แผนกธรรม) ประจําวัดบันไดทอง พร้อมกันนั้นก็ได้ชักชวนส่งเสริมให้พระภิกษุสงฆ์-สามเณร วัดกุฏิ อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี (สมัยนั้นวัดกุฏิ ยังไม่ได้ตั้งสำนักเรียน) ให้มาศึกษาเล่าเรียนที่วัดบันไดทอง
เป็นการเผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาไปด้วย ท่านก็ได้เป็นผู้อุปการะสำนักเรียนมา ตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าท่านเห็นว่า ภิกษุ – สามเณร รูปใดมีความสามารถจะศึกษาทางบาลี ท่านก็เป็นกำลังส่งเสริมในการศึกษาให้ได้เล่าเรียนเสมอมา
ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นกรรมการเปิดสนามสอบธรรมสนามหลวง
ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลหนองโสน อำเภอเมืองเพชรบุรี
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้จัดการปฏิสังขรณ์บูรณะอุโบสถ ที่ชำรุดปรักหักพังทั่วๆ ไป เช่น ยกช่อฟ้า ใบระกา พวย หน้าบรรณ ตลอดจนซ่อมแซมเสมา เจดีย์ และหอระฆัง ให้ทรงสภาพใช้ได้ดีมาโดยตลอดทุกวันนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้จัดการยกหอหน้ากุฏิขึ้น ๓ หลัง
ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้จัดการถมดินที่ลุ่มต่ำ เพื่อจะย้ายศาลาการเปรียญหลังเก่า
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ จัดการย้ายศาลาการเปรียญหลังเก่า ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยกขึ้นใหม่
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จัดการเลื่อนสุสานของวัด ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสร้างเป็นโกดัง เก็บศพ ๓๒ โกดัง ได้จัดสร้างกุฏิ ๒ ชั้น ขึ้น ๑ หลัง
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้สร้างศาลาบําเพ็ญกุศลขึ้น ๑ หลัง
ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จัดการปักเขต จึงลวดหนามเขตบริเวณวัด และสร้างประตูเข้าวัด จัดการนำกระแสไฟฟ้าเข้าวัด จัดการสร้างสูบน้ำขึ้นกุฏิ เพื่อสะดวกแก่ภิกษุ-สามเณร
ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ สร้างโรงครัว พื้นเทคอนกรีต มีฝากันมิดชิด ๑ หลัง จัดการเปลี่ยนพื้นนอกชานกุฏิที่ผุพังทั้งหมดให้ดีใช้ได้
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้จัดการยกหอหน้ากุฏิขึ้นเพิ่มอีก ๒ หลัง เพื่อให้เป็นแถวแนวเดียวกันทั้งหมด
ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ จัดการสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดทอง (ศรีสุตาราษฎร์) ลักษณะชั้นเดียว ใต้ถุนสูง กว้าง ๙ เมตร ยาว ๓๖ เมตร
ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ สร้างฌาปนสถาน ลักษณะคอนกรีตเสริมเหล็ก ก่ออิฐถือปูนพร้อมเครื่องอุปกรณ์ใช้ในการบําเพ็ญกุศลศพ สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเพชรบุรี เชื่อมระหว่างวัดบันไดทอง ติดต่อกับฝั่งตะวันออกของวัด ลักษณะสะพานไม้เนื้อแข็งทั้งชุดถาวร กว้าง ๒ เมตร ยาว ๔๒ เมตร และสร้างบันไดคอนกรีตลงท่าน้ำของวัด ทางใต้น้ํา
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สร้างถนนคอนกรีตภายในบริเวณวัด
ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จัดการสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม บนกุฏิ ๑ ห้อง ลักษณะคอนกรีตเสริมเหล็ก และสร้างส้วมให้โรงเรียนวัดทอง (ศรีสุตาราษฎร์) ลักษณะครึ่งอิฐครึ่งไม้ ๔ ห้อง ที่ปัสสาวะชาย ๓ ที่
ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จัดการสร้างห้องเรียนชั้นล่างโรงเรียนวัดทอง (ศรีสุตาราษฎร์) เพิ่มเติมอีก ๒ ห้องเรียน ลักษณะคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง ๘.๕๐ เมตร ยาว ๑๘ เมตร พร้อมโต๊ะ ม้านั่งครบชุด และสร้างเขื่อนกั้นน้ำหน้าวัด ลักษณะลงเสาไม้เนื้อแข็ง ยาว ๔๐ เมตร
ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ สร้างโรงอาหารให้โรงเรียน ๑ หลัง พื้นคอนกรีต ตัวอาคารเป็นไม้เนื้อ แข็ง กว้าง ๔ เมตร ยาว ๑๔ เมตร
ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ สร้างเขื่อนกั้นน้ำด้วยไม้เนื้อแข็ง ถมดินเสริมคันคลองกันน้ำ ซึ่งมาทำ อันตรายเนื้อที่ของวัด โดยเฉพาะเขื่อนกั้นน้ำของวัด ท่านต้องจัดการทำทุกปี เพราะน้ำเหนือไหลบ่ามาก
ถ้าเขื่อนไม่มีน้้ำจะต้องท่วมวัด จึงเป็นภาระหนักมากในเรื่องเขื่อนกั้นน้ำ ด้วยวิริยะอุตสาหะอดทน จึงรอดพ้น - จากน้ำท่วมมาได้ทุกปี และท่านยังได้มีจิตเมตตาสงเคราะห์ต่อชาวบ้านวัดบันไดทองเสมอมา เป็นต้นว่า
หน้าน้ำเหนือมากไหลบ่ามาท่วมไร่นาของประชาชน ทำความเสียหายให้เกิดขึ้นแทบทุกปี ท่านก็ได้สงเคราะห์ช่วยเหลือ และตัวท่านได้ไปบัญชางานปิดกั้นน้ำพังท่วมที่นาเป็นประจำด้วยตัวท่านเอง และท่านก็ได้เสียสละทุกอย่าง เท่าที่พอท่านจะช่วยได้เป็นประจำเสมอมา
ท่านได้ประกอบกรรมดีของท่านตลอดมา มีการนำทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ยังวัดต่างๆ ทั้งในเขตจังหวัดเพชรบุรี และต่างจังหวัดเป็นประจำ เมื่อท่านคิดการสร้างบุญกุศลขึ้นครั้งใด ญาติโยมพุทธศาสนิกชน ก็มาร่วมโมทนาร่วมการ บุญกุศลกันเป็นจำนวนมากมายทุกครั้งไป
กิจกรรมในด้านศาสนศึกษาก็ดี ในด้านสาธารณูประการก็ดี ในด้านเผยแผ่ จริยธรรมอันเป็นคุณธรรมซึ่งเกิดจากการประกอบมาด้วยดี ตั้งแต่เริ่มต้นในวิถีชีวิตของท่าน ด้วยอาจารสมบัติอันสูงส่ง ตั้งอยู่ในอัตตสัมมาปณิธิทางที่ชอบที่ควร อันกอรปด้วย เมตตาขันติธรรม
มีการสงเคราะห์อนุเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ ด้วยการสร้างสรรส่งเสริม เติมแต่ง ให้ได้รับผลดี เพื่อสาธารณประโยชน์ให้เกิดสันติสุข โดยมีเห็นแก่ความเหนื่อยยากลําบากกาย มุ่งประโยชน์สุขเพื่อผู้อื่นเป็นที่ตั้ง
ด้วยอาศัยความสามารถและความวิริยะอุตสาหะ ในการที่ท่านได้บำเพ็ญสมณวิสัย อันเป็นภารกิจ ในพระพุทธศาสนามาด้วยดีตลอดมา ทางคณะสงฆ์จึงได้มอบภารกิจในการปกครองคณะสงฆ์และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ดังนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงพ่อสุข ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน
![]() |
ข่าวเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี |
ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูสุตานุโยค เมื่อวันที ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เล่ม ๖๖ ตอนที่ ๖๖
ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ชั้นโท ในราชทินนามเดิม ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตําบลธงไชยและบ้านกุ่ม
ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
หลวงพ่อสุข ท่านยังได้คิดถึงอนาคตของการจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปชั่วกาลนาน ด้วยการวางรากฐานอันมั่นคงไว้ให้แก่สํานักสงฆ์วัดบันไดทอง โดยท่านได้จัดหาทุนทั้งเป็นมูลนิธิขึ้นชื่อว่า "บันไดทองสุขะนิธิ"
โดยผู้มีจิตศรัทธาได้ถวายเนื้อที่นาไว้เป็นธรณีสงฆ์ อันเป็นศาสนสมบัติของวัดบันไดทอง เป็นเนื้อที่ ๑๔๐ ไร่เศษ ได้รับค่าเช่าดอกผลเป็นการบำรุงเพื่อค่าภัตตาหาร บำรุงสำนักศึกษา พระปริยัติธรรม และเพื่อประโยชน์ในการก่อสร้างสิ่งที่จำเป็น ซ่อมแซมบูรณะปฏิสังขรณ์วัดบันไดทอง ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
หลวงพ่อสุข ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เวลา ๑๑.๔๕ น. นับรวมสิริอายุได้ ๗๖ ปี ๖ เดือน ๑๙ วัน ๕๔ พรรษา.
วัตถุมงคลของหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เนื้อเงินลงยา |
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เนื้อทองแดง ของคุณไทเกอร์ สามเฮง |
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า จำลองเป็นรูปหลวงพ่อสุขครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูสุตานุโยค"
ด้านหลัง ตรงกลางเหรียญมีอักขระยันต์ ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "๒๔๙๖"เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง รุ่นสอง
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า จำลองเป็นรูปหลวงพ่อสุขครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูสุตานุโยค"
ด้านหลัง ตรงกลางเหรียญมีอักขระยันต์ ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "๒๕๐๒"
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง รุ่น ๓
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้ออัลปาก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่น ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เนื้ออัลปาก้า |
ด้านหน้า จำลองเป็นรูปหลวงพ่อสุขครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูสุตานุโยค" เหนือรูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "วัดบันไดทอง จ.เพชรบุรี ๒๕๑๐"
ด้านหลัง มีอักขระยันต์
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง รุ่น ๔
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดงเพียงเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่น ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เนื้อเงิน |
![]() |
เหรียญหลวงพ่อสุข วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่น ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เนื้อทองแดง |
ด้านหน้า จำลองเป็นรูปหลวงพ่อสุขครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูสุตานุโยค" เหนือรูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "วัดบันไดทอง จ.เพชรบุรี ๒๕๑๖"
ด้านหลัง มีอักขระยันต์
เหรียญพระพุทธ วัดบันไดทอง รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมาแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้ออัลปาก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
เหรียญพระพุทธ วัดบันไดทอง เพชรบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เนื้ออัลปาก้า |
ด้านหน้า จำลองเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิประทับนั่งบนฐานชุกชี องค์พระมีสังฆาฏิ
ด้านหลัง มีอักขระยันต์
โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
***-[เป็นกำลังใจและสนับสนุนให้เราเขียนบทความดีๆ ด้วยการกดดูโฆษณาด้านล่างนะคะ]-***
ไม่มีความคิดเห็น