โฆษณาแนวนอน728*90

บทความใหม่

ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อชม วัดพุทไธศวรรย์ พระเกจิทรงอภิญญาแห่งเมืองกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา

ภาพถ่ายหลวงพ่อชม วัดพุทธไธสวรรค์ อยุธยา
หลวงพ่อชม วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา

         หลวงพ่อชม วัดพุทไธศวรรย์ หรือ พระครูอุทเทศธรรมวินัย อดีตเจ้าคณะหมวด วัดพุทไธศวรรย์ ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

         พระครูอุทเทศธรรมวินัย ท่านมีนามเดิมว่า ชม กุลไพศาล พื้นเพเป็นชาวบ้านอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ โยมบิดาชื่อนายดี กุลไพศาล โบมมารดาชื่อนางนี กุลไพศาล

         ปี พ.ศ. ๒๔๓๑หลวงพ่อชมมีอายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดบ้านแดง ตำบลหน่อม อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด  ได้รับฉายาว่า "พุทฺธสกกฺโต" โดยมี

         พระครูทา (สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเจ้าคณะแขวงนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์

         หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านฟ้าเลื่อมเรื่อยมา เพื่อศึกษาวิชากับพระอาจารย์ โส วัดบ้านฟ้าเลื่อม ซึ่งสำนักนี้มีชื่อเสียงมากในแถบอีสาน เทียบกับอยุธยา ก็เหมือนกับสำนักวัดประดู่ทรงธรรม เทียบกับภาคใต้ ก็เหมือนสำนักเขาอ้อ

         ปี พ.ศ. ๒๔๓๙ หลวงพ่อชมอุปสมบทได้แล้ว ๙ พรรษา ทราบข่าวว่าทางภาคกลางมีพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาที่ท่านสนใจ จึงได้กราบลาพระอาจารย์โส ออกเดินทางจากวัดบ้านฟ้าเลื่อม เดินธุดงค์ล่องลงมาทางใต้ จนต่อมาท่านได้ศึกษาเล่าเรียนและพักจำพรรษาอยู่ในกรุงเทพฯ

         หลังจากศึกษาวิชาอยู่ที่กรุงเทพเป็นเวลานานพอสมควร หลวงพ่อชมก็ได้รับคำแนะนำว่า ที่วัดธรรมิกราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนทั้งด้านปริยัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน และด้านคาถาอาคม ที่มีความรุ่งเรืองเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไป ท่านจึงได้เดินทางขึ้นมาฝากตัวเข้าศึกษาเล่าเรียน ในสำนักวัดนี้กับหลวงพ่อฟัก (พระครูธรรมิกาจารคุณ) วัดธรรมิกราช

         หลวงพ่อชมจำพรรษาและศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดธรรมิกราช เพื่อศึกษาวิชากับหลวงพ่อฟัก จนมั่นใจว่ามีวิชาความรู้พอสมควรแล้ว จึงได้กราบลาหลวงพ่อฟัก ย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดต่างๆ ในเขตอยุธยาและท้องถิ่นใกล้เคียงอีกหลายวัด

         ต่อมาพระสมุห์สังวร เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ได้มรณภาพลง คณะสงฆ์และฝ่ายราชการบ้านเมืองนำโดย พระยาโบราณราชธานินทร์ (พรเดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล และ พระญาณไตรโลก ( ฉาย คงฺคสุวณฺโณ) วัดพนัญเชิง เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงเห็นพ้องกันแต่งตั้งให้หลวงพ่อชม ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่บางกะจะ 

         ให้ย้ายมาครองวัดพุทไธศวรรย์ ในตำแหน่งเจ้าอาวาสทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพราะเห็นว่า วัดพุทไธศวรรย์ นี้เป็นโบราณสถานที่ใหญ่โตและทรงความสำคัญยิ่งยวด ในเมื่อเคยเป็นพระอารามหลวงมาแต่ก่อน ด้วยความประสงค์จะให้หลวงพ่อชมบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปรางค์ พระพุทธรูปในวิหารคต (พระระเบียง) และโบสถ์

         วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอารามหลวง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๑๕/๘ บ้านคลองวัดพุทไธศวรรย์ หมู่ที่ ๔ ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๔๖ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา

         วัดพุทไธศวรรย์ เดิมเป็นพระตำหนักเวียงเหล็ก หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่า "เวียงเล็ก" เป็นที่ประทับของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง เมื่อครั้งหนี้โรคระบาดมาจากสุพรรณบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๘๐ ได้ทรงสร้างเป็นที่ประทับชั่วคราวในระยะสร้างเมืองหลวงคือกรุงศรีอยุธยา

         เมื่อสร้างเมืองหลวงเสร็จแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระตําหนัก ซึ่งประกอบด้วยวิหารและพระปรางค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ให้เป็นอารามมีนามว่า "วัดพุทไธศวรรย์" ในปี พ.ศ. ๑๘๕๖ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี เวลา ๒ นาฬิกา ๕ นาที (เวลา ๐๘.๓๐ น.) ถือว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสมาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๕๖ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๒๐๗ เมตร ยาว ๓๘.๗๐ เมตร

         ภายในวัดมี มณฑปพระปลัดซ้าย - ขวา วิหารคด และตำหนักสมเด็จพระพุทธโกษาจารย์ สำหรับปูชนี้ วัตถุมี พระประธานในอุโบสถ ๓ องค์ องค์ใหญ่พระเพลา กว้าง ๘ ศอกเศษ อีก ๒ องค์ พระเพลากว้าง ๔ ศอกเศษเท่ากัน พระพุทธรูปรองลงมามีทั้งหมด ๑๕ องค์ เป็น พระพุทธรูปปูนปั้นที่วิหารคดมีพระพุทธรูป ๑๐๘ องค์

         นอกจากนี้มีพระปรางค์สูงประมาณ ๑ วา มีเจดีย์ เรือนแก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านหลังเจดีย์เรือนแก้วมีพระพุทธไสยาสน์ยาวประมาณ ๕ เมตร ที่ซุ้มปรางค์ทิศตะวันตกมีพระพุทธรูปปางบ่าเลไลยก์

         ซุ้มทิศเหนือเคยเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระเทพบิดร ถูกอัญเชิญไปไว้ที่กรุงเทพมหานครแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ และโปรดให้หล่อแปลงเสียใหม่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องหุ้มด้วยเงินทั้งองค์ ประดิษฐาน อยู่ที่หอพระเทพบิดร

         ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้โปรดให้บูรณะองค์พระปรางค์มณฑปและวิหารคดของวัดนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทางคณะสงฆ์ได้ให้รวมวัดนางกราย ซึ่งเป็นวัดร้างให้มาเข้ากับวัดพุทไธศวรรย์ด้วย มีรายนามเจ้าอาวาสปกครองวัดเท่าที่ทราบคือ

         ๑. พระอาจารย์ฟัก (ย้ายมาจากวัดธรรมิกราช)

         ๒. พระอาจารย์อิน (โป๋)

         ๓. พระครูสมุห์วอน

         ๔. พระครูอุทเทศธรรมวินัย (ชม พุทฺธสกกฺโต)

         ๕. พระอธิการสนธิ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๔๙๑

         ๖. เจ้าอธิการคง พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๓

         ๗. พระครูสาธุกิจโกศล (ยอด มนิสสโร) พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๔๙๗

         ๘. พระครูภัทรกิจโสภณ (หวล ภูริภัทโท) พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๖๔

         ๙. พระวชิรญาณ (อติโชติ ธมฺมวโร) พ.ศ. ๒๕๖๔ - ปัจจุบัน

         หลังจากที่หลวงพ่อชมได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาวัดอยางสุดความสามารถทั้งการสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

         นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างผลงานในด้านการก่อสร้างซ่อมแซมวัด และเสนาสนะ ต่างๆของวัดที่เสื่อมโทรมให้กลับมาสวยงามคงทน

         รวมทั้งท่านยังได้ปกครองบังคับบัญชาวัดหรือพระสงฆ์ในเขตที่รับผิดชอบ รวมทั้งผลงานในด้านสงเคราะห์พุทธบริษัทเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและวัตถุมงคลต่างๆ

ข่าวเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อชม วัดพุทธไธสวรรค์ อยุธยา
ข่าวเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

         ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูอุทเทศธรรมวินัย เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ เล่ม ๔๗ หน้า ๒๙๑๕

         คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงพ่อชมนอกจากจะเป็นพระหมอที่เก่งกาจเชี่ยวชาญเรื่องยาสมุนไพล และการทำน้ำมนต์แล้ว ท่านยังเป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคม เล่ากันว่าท่านสำเร็จวิชาพญาเสือโคร่ง จากสำนักวัดบ้านฟ้าเลื่อม (วัดราศรีไศล) 

         ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์มาอ้อนวอนขอให้ท่านแปลงร่างเป็นเสือให้ดูเป็นขวัญตาแต่ท่านก็ปฏิเสธมาตลอด จนมีอยู่วันหนึ่งท่านอารมณ์ดี เห็นศิษย์มาพร้อมกันแล้ว จึงนั่งสมาธิชั่วอึดใจเดียว ร่างกายของท่านก็กลายเป็นเสือโคร่งลูกศิษย์ต่างแตกตื่นหนีด้วยความตกใจ เมื่อศิษย์ใกล้ชิดตั้งสติได้จึงเอาน้ำมนต์มาราดตัวเสือ ท่านจึงกลับเป็นหลวงพ่อชมนั่งสมาธิตามอยู่เดิม

ข่าวมรนณภาพหลวงพ่อชม วัดพุทธไธสวรรค์ อยุธยา
ข่าวมรณภาพหลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

         ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้เพียงชนิดเดียวคือ เหรียญ ซึ่งเหรียญของท่านนั้นถูกจัดให้อยู่ในตำนาน ๕ เหรียญยอดนิยมของเมืองอยุธยา นั่นคือ "เบญจภาคีพระเหรียญประจำจังหวัดอยุธยา" จัดเป็นเหรียญหายากและมีราคาแพง

         หลวงพ่อชมปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยพิษไข้ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ นับรวมสิริอายุได้ ๖๕ ปี ๔๕ พรรษา.

ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์

         เหรียญหลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์ รุ่นแรก

         สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เพื่อแจกในคราวทำบุญอายุครบ ๕ รอบ (๖๐ ปี) ของหลวงพ่อ ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มข้างกระบอกรูปเสมาแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

เหรียญหลวงพ่อชม วัดพุทธไธสวรรค์ อยุธยา รุ่นแรก 2470 ทองแดงกระไหล่ทอง
เหรียญหลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์ อยุธยา รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เนื้อทองแดงกระไหล่ทอง ของคุณเด่น อยุธยา

เหรียญหลวงพ่อชม วัดพุทธไธสวรรค์ อยุธยา รุ่นแรก 2470 ทองแดงกระไหล่ทอง
เหรียญหลวงพ่อชม วัดพุทธไธศวรรย์ อยุธยา รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เนื้อทองแดงกระไหล่ทอง ของคุณเด่น อยุธยา

         ด้านหน้า จำลองเป็นรูปหลวงพ่อชม นั่งสมาธิเป็นองค์บนตั่ง องค์หลวงพ่อห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ เหนือรูปหลวงพ่อมีอักขระขอมอ่านได้ว่า "วัดพุทธัยสวรรณ์" ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระขอมอ่านได้ว่า "พุทฺธสกกฺโต" ซึ่งเป็นฉายาของท่าน ใต้อักขระขอมมีอักขะเลขไทยเขียนว่า "๒๔๗๐" ซึ่งคือปีที่สร้างเหรียญ 

         ด้านหลัง มีอักขระยันต์อ่านได้ว่า "มะ อุ อะ นะ โม พุท ธา ยะ นะ มะ พะ ทะ"



ขอขอบคุณ :  พระครูธรรมธรรัตนะ วัดใหม่ต้นกระทุ่ม ราชบรุี (ภาษาบาลี)

โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม

บทความที่เกี่ยวข้อง


***-[เป็นกำลังใจและสนับสนุน​ให้เราเขียนบทความดีๆ ด้วยการกดดูโฆษณาด้านล่างนะคะ]-***

ไม่มีความคิดเห็น